เลนส์แคนนอน: เลนส์แคนนอน EF 800mm f/5.6 L IS USM

เลนส์แคนนอน: เลนส์แคนนอน EF 800mm f/5.6 L IS USM

PowerShot A650IS: ปัญหาเรื่องสภาวะของแสงในภาพถ่าย

PowerShot A650IS: ปัญหาเรื่องสภาวะของแสงในภาพถ่าย

เรียน ผู้ใช้กล้องดิจิตอลรุ่น PowerShot A650 IS,

เนื่อง จากทางเราได้พบว่าภาพถ่ายที่ถ่ายโดยกล้องดิจิตอลรุ่น PowerShot A650 IS นั้นเกิดความผิดปกติของสี ดังที่ปรากฏในตัวอย่างด้านล่างนี้ ปัญหานี้เกิดขึ้นเมื่อทำการถ่ายภาพโดยหมุนจอ LCD เปลี่ยนในหลายมุม ภายใต้สภาวะที่มีแสงแดดจ้าหรือแสงสว่างมากส่องอยู่ทางด้านหลังของตัวกล้อง

กล้องที่ได้รับผลกระทบ

เฉพาะ กล้องรุ่น PowerShot A650 IS หมายเลขเครื่องที่มีตัวเลข 0 ในหลักที่ห้าจากทางซ้ายมือ ซึ่งแสดงอยู่ด้านล่างของตัวกล้องเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม หากท่านมีกล้องที่มีหมายเลขเครื่องดังกล่าวข้างต้น และมีเครื่องหมายแสดงอยู่ที่ด้านในของฝาครอบแบตเตอรี่ดังที่แสดงในภาพด้าน ล่างนี้ จะไม่เกิดปัญหาดังกล่าวนี้

การแก้ไข

ทางบริษัท แคนนอนยินดีเสนอบริการซ่อมแซมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น ทันทีที่ทางเราพร้อมที่จะให้บริการ ประมาณช่วงกลางเดือนตุลาคม โดยจะทำการอัพเดทข้อมูลข่าวสารในหน้านี้ใหม่อีกครั้ง

ในขณะนี้ ทางเราเสนอให้ทำการแก้ไขชั่วคราวโดยไม่ใช้การหมุนจอ LCD เมื่อถ่ายภาพภายใต้สภาวะที่มีแสงแดดจ้าหรือแสงสว่างมาก

มีข้อสงสัยใดๆ โปรดติดต่อสอบถามไปยัง ศูนย์บริการแคนนอน ใกล้บ้านท่าน

EOS-1D Mark III: เรื่องการปรับกระจกโฟกัสอัตโนมัติ

EOS-1D Mark III: เรื่องการปรับกระจกโฟกัสอัตโนมัติ

เรียน ท่านผู้ใช้กล้องดิจิตอล EOS-1D Mark III

เนื่อง จากทางแคนนอนได้ตรวจพบว่ากล้องดิจิตอลรุ่น EOS-1D Mark III บางตัวมีปัญหาเกี่ยวกับกระจกสำหรับการโฟกัสอัตโนมัติ (AF) เมื่อใช้กล้องดังกล่าวถ่ายรูปต่อเนื่องแบบ AI servo โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ซึ่งมีอุณหภูมิสูง การโฟกัสจะไม่คงที่ หรือการหาโฟกัสอัตโนมัติทำได้ไม่แม่นยำ

ท่าน สามารถตรวจสอบกล้องดิจิตอลที่มีปัญหาได้จากหมายเลข serial number ตรงด้านล่างกล้อง (ดังภาพ) โดยกล้องที่มีหมายเลข serial number ระหว่าง 501001 ถึง 546561 ควรนำมาปรับกระจกโฟกัสอัตโนมัติ

ทาง แคนนอนขอให้ท่านผู้ใช้กล้องที่มีปัญหาดังกล่าวนำกล้องมารับการปรับกระจก โฟกัสอัตโนมัติได้ตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไป โดยแคนนอนยินดีรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด หากท่านมีข้อสงสัยใดๆ โปรดติดต่อศูนย์บริการแคนนอนใกล้บ้านท่าน

เพิ่มเติม: ท่านควรทำการดาวน์โหลด Firmware version 1.1.3 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุด โดย Firmware เวอร์ชั่นนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องการตรวจจับวัตถุของโฟกัสอัตโนมัติ ในสภาวะการณ์ดังต่อไปนี้

a) แก้ปัญหาการตรวจจับวัตถุของโฟกัสอัตโนมัติ เมื่อทำการถ่ายภาพกลางแจ้งในสภาวะที่มีแสงจ้า

b) แก้ปัญหาการตรวจจับวัตถุของโฟกัสอัตโนมัติ ของวัตถุที่มีคอนทราสต์ต่ำ


News : ภาพที่ผิดปกติเนื่องจากความบกพร่องของ CCD ของ แคนนอน

ภาพที่ผิดปกติเนื่องจากความบกพร่องของ CCD ของ แคนนอน

ตามที่ บริษัท แคนนอน ได้เรียนแจ้งเกี่ยวกับความบกพร่องของ CCD ก่อนหน้านี้แล้วนั้น บริษัท แคนนอน ได้ตระหนักว่า CCD ที่นำมาใช้ในกล้องดิจิตอลและกล้องวีดีโอดิจิตอลโดยผู้ผลิต CCD ให้กับ แคนนอน นั้น อาจจะเป็นสาเหตุทำให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีอาการดังต่อไปนี้ เมื่อผลิตภัณฑ์ถูกใช้ในโหมดของการบันทึกหรือการเล่นเทปที่อัดไว้ จอ LCD และ/หรือ ช่องมองภาพในกล้องอาจจะได้ภาพที่ไม่ชัด ผิดเพี้ยน หรือไม่ปรากฏภาพเลย ฉะนั้น บริษัท แคนนอน จึงมีความประสงค์ที่จะเรียนให้ท่านทราบถึงการบริการในกรณีนี้ และต้องขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นต่อลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์ แคนนอนใน รุ่นดังกล่าว (กรุณาดูรายละเอียดด้านล่าง) ทั้งนี้ บริษัท แคนนอน ขอยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงผลิตภัณฑ์ของแคนนอนให้มีคุณภาพดีที่ สุดเพื่อให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นมากที่สุด พร้อมกันนี้บริษัทฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าด้วยความตั้งใจที่จะแก้ไขปัญหานี้ ผลิตภัณฑ์ของ แคนนอน จะยังคงได้รับการสนับสนุนที่ดีจากท่านอีกต่อไป

รุ่นที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม
รุ่นที่ประกาศไปก่อนหน้านี้





กล้องวีดีโอดิจิตอล


กล้องดิจิตอล



MV600i
ZR60
PowerShot A60
Digital IXUS V3

MV630i
ZR65 MC
PowerShot A70
Digital IXUS II

MV650i
ZR70 MC
PowerShot A75
Digital IXUS IIs

MV700i
ZR80
PowerShot A300



MV750i
ZR90





MV5i
Elura40 MC





MV5i MC
Elura50





MV6i MC






นอกจากรุ่นที่ประกาศไปข้างต้นแล้ว ยังมีกล้องดิจิตอลรุ่นที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม



PowerShot A40
Digital IXUS V2





PowerShot A80
Digital IXUS 330





PowerShot A85
Digital IXUS 400





PowerShot A95
Digital IXUS 430





PowerShot S1 IS
Digital IXUS 500





PowerShot S60







อาการ

บริษัท แคนนอน ได้รับการยืนยันว่ารอยต่อสายไฟภายในของ CCD ในรุ่นที่มีผลกระทบอาจขาดออกจากกัน เฉพาะอย่างยิ่งหากผลิตภัณฑ์ที่มีผลกระทบนั้นเก็บ หรือใช้ในสภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงและความชื้นสูง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจะไม่มีสัญญาณปรากฏออกจาก CCD ตามปกติในโหมดถ่ายภาพ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ภาพผิดเพี้ยนไปจากของจริงหรือไม่มีภาพปรากฏเลย อาการดังกล่าวจะปรากฏขึ้นที่หน้าจอ LCD ซึ่งจะตรงกับภาพที่ได้ทำการบันทึกไว้

ความรับผิดชอบของแคนนอน
บริษัท แคนนอน จะให้การบริการซ่อมโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น รวมถึงสินค้าที่หมดระยะประกันแล้วเช่นกัน หากสินค้าตามรุ่นดังกล่าวได้รับการยืนยันว่ารอยต่อสายไฟภายในของ CCD ขาดออกจากกัน สำหรับลูกค้าที่มีการชำระค่าซ่อมในอาการดังกล่าวก่อนประกาศฉบับนี้ กรุณาติดต่อศูนย์บริการ แคนนอน ที่ใกล้ท่านที่สุด

Review : แคนนอน CP 770


Available:
Yellow
White





คุณสมบัติเด่น
• พิมพ์ด้วยระบบ Dye-Sublimation
• ความละเอียดในการพิมพ์ 300 x 300 dpi
• ช่องเสียบ Memory Card ในตัว (SD,MMC,CF,MS) นอกนั้นต้องใช้ Adapter
• จอ LCD สี ขนาด 2.5 นิ้ว
• พิมพ์ภาพขนาด 3X5 นิ้ว , 4X6 นิ้ว และ นามบัตร
• พิมพ์ไร้ขอบ – มีขอบได้ 1,2,4และ 8 ภาพใน 1 แผ่นกระดาษได้
• ลบตาแดงที่เกิดในภาพได้
• รองรับการพิมพ์ภาพด้วย IrDA , IrSimple
• รองรับระบบ Bluetooth Wireless ด้วย( BU 30)
• รองรับการพิมพ์ผ่านคอมพิวเตอร์ด้วย USB
• รองรับ ระบบ Windows XP –Vista ,Mac OS 10.4 later

Review : แคนนอน Selphy ES3




• พิมพ์ด้วยระบบ Dye-Sublimation
• ความละเอียดในการพิมพ์ 300 x 600 dpi
• พิมพ์ภาพรวดเร็วด้วยเทคโนโลยี DIGIC II
• มีเมมโมรีในตัว 1 GB ช่วยให้การพิมพ์ภาพ ง่ายและรวดเร็ว
• ช่องเสียบ Memory Card ในตัว (SD,MMC,CF,MS)
• จอ LCD สี ขนาด 3.5 นิ้ว พร้อมEasy-Scroll wheel
• รองรับระบบ IrDa, Bluetooth Wireless ( BU 30)
• พิมพ์ภาพขนาด 3X5 นิ้ว , 4X6 นิ้ว และ นามบัตร
• ฟังก์ชั่น Creative print สั่งพิมพ์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น ใส่กรอบรูป ใส่เอฟเฟค Clip Art,
พิมพ์ไร้ขอบ – มีขอบได้ 1,2,4และ 8 ภาพใน 1 แผ่นกระดาษได้
• ลบตาแดงที่เกิดในภาพได้

News : Nikon ผลิตเลนส์ NIKKOR SLR ครบ 40 ล้านตัว

Nikon ผลิตเลนส์ NIKKOR SLR ครบ 40 ล้านตัว

Nikon Corporation มีความยินดีประกาศให้ทราบว่า Nikon ได้ทำการผลิตเลนส์ NIKKOR สำหรับ กล้อง SLR ครบ 40 ล้านตัวในเดือนกรกฎาคม 2550

เมื่อปี 1959 Nikon ได้เริ่มผลิตเลนส์ NIKKOR แบบเมาท์ F ตัวแรกสำหรับใช้กับกล้อง Nikon SLR ตัวแรก คือ รุ่น Nikon F จนถึงปัจจุบันผ่านมาแล้ว 48 ปี Nikon ได้ทำการผลิตเลนส์ NIKKOR มาแล้วรวมกว่า 40 ล้านตัว มีให้เลือกหลากหลายทั้งเลนส์ระดับมืออาชีพและทั่วไปเพื่อยืนยันถึง ประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ

Nikon ได้เริ่มผลิตเลนส์ตัวแรกภายใต้ยี่ห้อ NIKKOR เมื่อปี 1932 ในขณะนั้นเลนส์ NIKKOR ไม่ได้นำมาใช้กับกล้อง Nikon เท่านั้น แต่ยังใช้กับกล้องยี่ห้ออื่นด้วย เช่น ในปี 1948 ออกกล้องรุ่น Nikon I และออกเลนส์ NIKKOR สำหรับกล้อง Leica และ Contax ในเวลาต่อมา และในปี 1959 ออกเลนส์ NIKKOR เมาท์ F ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเมาท์ขนาด 44 มม. เพื่อใช้กับกล้อง Nikon F เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นเป็นต้นมา Nikon ยังคงใช้เมาท์เลนส์ F เป็นมาตรฐานมาอย่างต่อเนื่องเกือบครึ่งศตวรรษ และใช้งานได้กับกล้อง Nikon ทุกรุ่นจนถึงปัจจุบันรุ่นล่าสุด Nikon D40X ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมายังได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เช่น การควบคุมรูรับแสง และระบบออโต้โฟกัส และการส่งข้อมูลระหว่างเลนส์กับตัวกล้อง

ปัจจุบัน1มีเลนส์ NIKKOR ให้เลือกกว่า 57 รุ่น2 รวมถึงเลนส์ DX NIKKOR ที่ได้รับการออกแบบพิเศษเพื่อใช้กับกล้อง Nikon ดิจิตอล SLR โดยเฉพาะ ได้แก่ เลนส์ฟิชอาย, เลนส์มุมกว้าง, เลนส์เทเล, เลนส์ซูม และเลนส์มาโคร

เลนส์ NIKKOR เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีต่างๆมากมาย เช่น Nano Crystal Coating เทคโนโลยีที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของ Nikon เอง โดยพัฒนามาใช้ในการโค๊ทผิวเลนส์เพื่อป้องกันแสงสะท้อนและลดแสงแฟลร์, ชิ้นเลนส์ ED (Extra-low Dispersion) ลดความคลาดเคลื่อนสีเพื่อเพิ่มความคมชัดและให้สีสันถูกต้อง, เลนส์ Aspherical แก้ความคลาดเคลื่อนทรงกลมและการบิดเพี้ยนของภาพ

นอกจากนี้ยังเสริมประสิทธิภาพเลนส์ NIKKOR ด้วยระบบ AF-S โดยเพิ่มชุดมอเตอร์พิเศษ Silent Wave (SWM) เพื่อให้เลนส์โฟกัสได้รวดเร็วขึ้นและเงียบสนิท ไม่มีเสียงรบกวน รวมถึงระบบ VR เพื่อลดการสั่นไหว ให้ภาพคมชัด

เลนส์ NIKKOR ผ่านกระบวนการผลิตอย่างพิถีพิถัน ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น การเริ่มหลอมแก้วเพื่อนำมาใช้ผลิตเป็นชิ้นเลนส์ การทดสอบและตรวจสอบคุณภาพอย่างพิถีพิถัน ผู้ใช้จึงมั่นใจได้ถึงความน่าเชื่อถือของเลนส์ NIKKOR และ Nikon จะยังคงพัฒนาเลนส์ NIKKOR ทั้งในด้านเทคโนโลยี และรักษาระดับคุณภาพสินค้าตามมาตรฐานของ Nikon ต่อไปอย่างต่อเนื่อง

หมายเหตุ

1 อ้างอิงเดือนกรกฎาคม 2550

2 รวมถึงเทเลคอนเวอเตอร์ 3 ตัว และ Auto Extension Ring 2 ตัว

ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นอ้างอิง ณ เดือนกรกฎาคม 2550 อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก

http://www.nikon.co.jp/main/eng/news/2007/0730_nikkor_01.htm

News : ฉลองเลนส์ NIKKOR ครบรอบ 75 ปี

ฉลองเลนส์ NIKKOR ครบรอบ 75 ปี

Nikon Corporation ประกาศฉลองเลนส์ NIKKOR ครบรอบ 75 ปี นับแต่เริ่มการผลิตครั้งแรกในปี ค.ศ. 1933 และเพื่อเป็นที่ระลึกการฉลองครบรอบครั้งนี้ Nikon ได้ให้คำสัญญาที่จะมุ่งมั่นพัฒนาประสิทธิภาพและระบบการทำงานเลนส์ NIKKOR ให้ก้าวล้ำ ทันสมัย และชิ้นเลนส์ที่มีคุณภาพสูงยิ่งๆขึ้นไป พร้อมกับเผยแพร่ประชาสัมพันธ์สัญลักษณ์เลนส์ “NIKKOR” ให้เป็นที่รู้จักโดยทั่วกัน

เกี่ยวกับสัญลักษณ์ “NIKKOR”

NIKKOR เป็นชื่อของเลนส์สำหรับกล้องถ่ายภาพ Nikon โดยตั้งมาจากการเติมตัว “R” ต่อจากชื่อ NIKKOที่เป็นตัวย่อของ Nippon Kogaku K.K. ชื่อบริษัทดั้งเดิมของ Nikon Corporation ที่เริ่มก่อตั้ง ในปี ค.ศ. 1933 ซึ่งได้เริ่มการผลิตเลนส์ตัวแรกภายใต้สัญลักษณ์ทางการค้า NIKKOR โดยใช้ชื่อว่า “Aero-NIKKOR” สำหรับการใช้งานถ่ายภาพทางอากาศ

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาได้มีการพัฒนาเลนส์ NIKKOR สำหรับผู้ใช้งานถ่ายภาพทั่วไป และงานอุตสาหกรรม และกลายเป็นเลนส์ชั้นนำ ประสิทธิภาพสูงของญี่ปุ่น Nippon Kogaku K.K. ได้เริ่มผลิตเลนส์สำหรับใช้กับงานถ่ายภาพทั่วไปในช่วงหลังสงคราม เลนส์ NIKKOR จึงกลายเป็นเลนส์แบบถอดเปลี่ยนได้ที่ได้การรับไว้วางใจจากช่างภาพทั่วโลก และในปี 1950 นิตยสาร New York Times ได้ตีพิมพ์บทความยกย่องกล้องและเลนส์ NIKKOR ที่นำมาใช้ถ่ายภาพในนิตยสาร Life ว่ามีคุณภาพดีกว่ากล้องและเลนส์จากเยอรมัน นอกจากนี้ Nikon ยังเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการถ่ายภาพ เช่น ปี 1968 Nikon ได้ผลิตเลนส์ OP Fisheye-Nikkor 10mm f/5.6โดยเป็นเลนส์สำหรับกล้อง SLR ตัวแรกของโลกที่มีชิ้นเลนส์ Aspherical

ปี 1962 ได้ผลิตเลนส์ Ultra Micro-NIKKOR 105mm f/2.8 สำหรับใช้เป็นเลนส์ฉายประกอบในเครื่องมืออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และถือเป็นเลนส์ที่มีกำลังการแยกขยายสูงสุดในโลก

Nikon ได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆในเลนส์ NIKKOR แบบถอดเปลี่ยนได้สำหรับกล้อง SLR อย่างต่อเนื่อง เช่น Nano Crystal Coat เทคโนโลยี การโค๊ทชิ้นเลนส์ชั้นสูงที่ได้รับการพัฒนามาจากเครื่องมือในอุตสาหกรรมเซมิ คอนดักเตอร์ที่มีความเที่ยงตรงสูงสุด เพื่อลดการสะท้อนแสงระหว่างชิ้นเลนส์ในกระบอกเลนส์และเพื่อลดการเกิดแฟลร์บน ภาพ

สัญลักษณ์ฉลองเลนส์ NIKKOR ครบรอบ 75 ปี

Nikon ได้ออกแบบสัญลักษณ์ฉลองเลนส์ NIKKOR ครบรอบ 75 ปี โดยเส้นโค้งเว้าสีเหลืองสื่อถึงชิ้นเลนส์ NIKKOR ที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพสูง โดยตั้งแต่ปลายเดือน มีนาคม 2008 Nikon จะประกาศเว็ปไซท์ใหม่ http://www.nikkor.com/ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเลนส์ NIKKOR ที่ บอกเล่าโดยช่างภาพชั้นนำที่มีชื่อเสียงทั่วโลก รวมถึงภาพผลงานและบทสัมภาษณ์ เพื่อต้องการให้ผู้เข้าชมเว็ปได้เห็นและหลงใหลไปกับโลกของเลนส์ NIKKOR

นอกจากนี้ปี 2008 Nikon ยังฉลองครบรอบ 60 ปี การผลิตกล้องขนาดเล็กคอมแพ็คแบบเรนจ์ไฟน์เดอร์ 35 มม.ตัวแรกของ Nikon รุ่น Nikon I(1948) อีกด้วย

News : Nikon D3, D300 และ AF-S 14-24 f/2.8G ED ได้รับรางวัล TIPA 2008

Nikon D3, D300 และ AF-S 14-24 f/2.8G ED ได้รับรางวัล TIPA 2008

Nikon D3 – Best D-SLR Professional

กล้องดิจิตอล DSLR ระดับโปรของ Nikon และเป็นกล้องตัวแรกของ Nikon ที่ใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาด full-frame (เท่าฟิล์ม 35 มม.) ใช้ชื่อเรียกว่า FX Format ขนาดเท่ากับ 23.9x36 มม. แบบ CMOS ความละเอียด 12.1ล้าน พิกเซล จึงให้แต่ละพิกเซลมีขนาดใหญ่กว่าขนาดมาตรฐานทั่วไป จึงมีความไวแสงสูง สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้อย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยความไวแสง ISO 6400 โดยแทบไม่มีสัญญาณรบกวน และสามารถเพิ่มความไวแสงได้สูงสุดถึง ISO 25600 ตัวกล้องแข็งแรง สมบุกสมบันด้วยโครงสร้างที่ผลิตด้วยโลหะแมกนีเซียมอัลลอย ถ่ายภาพต่อเนื่องได้ความเร็วสูงสุด 9 ภาพต่อวินาที หรือ 11 ภาพต่อวินาทีที่ขนาด DX Format จับภาพแอ็คชั่นได้ทุกการเคลื่อนไหวดั่งใจช่างภาพระดับมืออาชีพ

Nikon D300 – Best D-SLR Expert

ด้วย การออกแบบตัวกล้องที่มีความแข็งแรง จับถือกระชับมือ ซีลรอยต่อป้องกันฝุ่นละออง จึงเป็นกล้องระดับมืออาชีพที่คุ้มค่าที่สุด ด้วยเซ็นเซอร์รับภาพแบบ CMOS ความละเอียด 12.3 ล้านพิกเซล ให้ภาพคุณภาพสูงสัญญาณรบกวนต่ำ แม้ถ่ายภาพที่ความไวแสง ISO1600 และเพิ่มความไวแสงได้สูงสุด ISO 6400 (Hi 1.0) iระบบโฟกัสทำงานได้รวดเร็วและแม่นยำสำหรับถ่ายภาพแอ๊คชั่น เช่น ภาพกีฬา ช่องมองภาพครอบคลุมการมองเห็น 100% จอ LCD ขนาดใหญ่ 3.0 นิ้ว ใสสว่าง มองภาพได้ชัดเจนทุกมุมมอง พร้อมโหมด Live View ช่องต่อเชื่อมสัญญาณภาพแบบ HDMI พร้อมระบบทำความสะอาดเซ็นเซอร์รับภาพ พร้อมระบบถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง 6 ภาพต่อวินาที บันทึกได้ต่อเนื่อง 100 ภาพ แบบ JPG และ 23 ภาพ แบบ RAW และได้สูงสุด 8 ภาพต่อวินาทีเมื่อใช้ MB-D10 Battery Pack กับแบตเตอรี่ EN-EL4a หรือ AA

Nikon AF-S 14-24 f/2.8G ED – Best Professional Lens

เลนส์ซูมมุมกว้างระดับ Ultra Wide รองรับการใช้งานระดับมืออาชีพได้ทุกสถานการณ์ด้วยชิ้นเลนส์คุณภาพสูง ประกอบด้วยชิ้นเลนส์ 14 ชิ้น แบ่งเป็น 11 กลุ่ม เป็นชิ้นเลนส์ ED จำนวน 2 ชิ้น และ Aspherical จำนวน 3 ชิ้น เทคโนโลยีการโค๊ทชิ้นเลนส์ Nano Crystal Coating ลดการเกิดแสงแฟลร์และแสงสะท้อนภายในกระบอกเลนส์และเซ็นเซอร์รับภาพได้อย่างยอดเยี่ยม ขนาดรูรับแสงกว้างสุด f/2.8 คงที่ตลอดทุกช่วงซูม รองรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย โฟกัสได้ระยะใกล้สุดถึง 0.28 ม. ได้อะแฟรมมากถึง 9 ใบแบบขอบกลม ให้ฉากหลังเบลอได้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมมอเตอร์ Silent Wave ขับเคลื่อนระบบออโต้โฟกัสได้รวดเร็ว และเงียบปราศจากเสียงรบกวน และสวิทซ์เปลี่ยนโฟกัสแบบแมนนวลที่กระบอกเลนส์ได้ทันทีที่ต้องการ

News : Nikon D3 ได้รับรางวัล CAMERA GRAND PRIX 2008

Nikon D3 ได้รับรางวัล CAMERA GRAND PRIX 2008 - Camera of The Year และ Readers Awards

Nikon Corporation มีความยินดีประกาศให้ทราบว่ากล้อง Nikon D3 ได้รับรางวัล Camera of The Year ของ CAMERA GRAND PRIX ที่จัดขึ้นโดยชมรมช่างภาพหนังสือพิมพ์ของญี่ปุ่น

คณะกรรมการได้สรุบเลือกกล้อง Nikon D3 ให้ได้รับรางวัลนี้จากกล้องที่เข้ารับการคัดเลือกทั้งหมด 170 รุ่นที่วางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2550 ถึง วันที่ 31 มีนาคม 2551

Nikon D3 ได้รับรางวัล CAMERA GRAND PRIX - Camera of the Year

Nikon D3 ได้รับรางวัล CAMERA GRAND PRIX - Readers Award

D3 เป็นกล้อง DSLR รุ่นแรกของ Nikon ที่ใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 24x36 มม. เท่ากับขนาดฟิล์ม 35 มม. ซึ่งเป็นที่รอคอยของบรรดาช่างภาพทั้งหลายตั้งแต่ระดับมืออาชีพจนถึงระดับสมัครเล่นแบบจริงจัง คณะกรรมการยังตัดสินเลือก Nikon D3 ด้วยคุณสมบัติฟังก์ชั่นการทำงานใหม่หลายอย่างที่มีประสิทธิภาพสูงเกินคาดหมาย นอกจากนี้ Nikon D3 ยังได้รับรางวัล Reader Awards ของ CAMERA GRAND PRIX 2008 ซึ่งจัดชึ้นเป็นครั้งที่ 25 โดยได้รับเลือกจากผลการลงคะแนนของช่างภาพทั่วไปจากงาน Photo Image Expo (PIE) 2008 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงโตเกียว ระหว่างวันที่ 19-22 มีนาคม ที่ผ่านมา

Nikon D3 นับเป็นกล้องตัวที่ 6 ของ Nikon ที่ได้รับรางวัล CAMEA GRAND PRIX โดยกล้อง Nikon รุ่นล่าสุดที่ได้รับรางวัลนี้ คือ Nikon D200 ในปี 2549 นอกจากนี้ Nikon D3 ยังได้รับรางวัล TIPA 2008 “Best D-SLR professional” ของยุโรปประจำปี 2551 อีกด้วย นับตั้งแต่เริ่มวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 2550 เป็นต้นมา Nikon D3 ก็ เป็นที่กล่าวขวัญและยอมรับถึงประสิทธิภาพจากบรรดาช่างภาพทั้งระดับมืออาชีพ และระดับทั่วไป จึงได้สร้างชื่อเสียงและและกวาดรางวัลระดับโลกมาเป็นจำนวนมาก

เกี่ยวกับรางวัล Camera Grand Prix

เพื่อฉลองครบรอบการจัดรางวัลเป็นครั้งที่ 25 Camera Grand Prix ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น CAMERA GRAND PRIX Camera of the Year และยังได้เพิ่มรางวัล CAMERA GRAND PRIX Readers Award เป็นครั้งแรกในปีนี้ ซึ่งตัดสินจากผลลงคะแนนจากผู้ใช้กล้องทั่วไป ชมรมช่างภาพหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น (Camera Press Club) ได้เริ่มก่อตั้งในเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2506 โดยกลุ่มนักเขียนของนิตยสารการถ่ายภาพ จนปีล่าสุดรวมจำนวนนิตยสารได้ทั้งสิ้น 12 ฉบับ คณะกรรมการรางวัล Camera Grand Prix จะทำการคัดเลือกและมอบรางวัล Camera of the Year ให้กับกล้องถ่ายภาพนิ่งที่ดีที่สุด โดยในปีนี้ประกอบด้วยคณะกรรมการทั้งสิ้น 55 ท่าน จากสมาชิกชมรมช่างภาพหนังสือพิมพ์, หัวหน้าบรรณาธิการ หรือตัวแทนจากนิตยสาร รวมถึงคณะกรรมการที่ได้รับเชิญจากบุคคลภายนอก เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพ, นักเขียนด้านเทคนิค, ช่างภาพ และตัวแทนจากองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายภาพ

เหตุผลที่ Nikon D3 ได้รับรางวัลนี้

Nikon D3 เป็นกล้องที่ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เป็นกล้อง DSLR รุ่นท็อปที่ใช้เซ็นเซอร์รับภาพขนาด FX-Format ตัวแรกของ Nikon เป็นเซ็นเซอร์รับภาพแบบ CMOS ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ทั้งหมด ความละเอียด 12.1 ล้านพิกเซล ความไวแสงมาตรฐานสูงสุด ISO 6400 จุดโฟกัสจำนวนมากถึง 51 จุด และฟังก์ชั่นการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงหลากหลาย ได้แก่

· เซ็นเซอร์รับภาพ CMOS ขนาด FX Format (36.0x23.9 มม.) ความละเอียด 12.1 ล้านพิกเซล

· ค่าสัดส่วน S/N สูง (สัญญาณรบกวนต่ำ) และ ช่วงไดนามิคกว้างเก็บโทนสีและแสงได้ครบถ้วน

· ระบบประมวลผลภาพ EXPEED ที่มีความเร็วสูง และให้ไฟล์ภาพคุณภาพสูง

· ช่วงความไวแสงมาตรฐานกว้างตั้งแต่ ISO 200 ถึง ISO 6400 และมีสัญญาณรบกวนต่ำ และเร่งเพิ่มได้สูงสุดถึง ISO 25600

· ถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง 9 ภาพต่อวินาทีที่ขนาดภาพสูงสุด FX Format และ 11 ภาพต่อวินาทีที่ขนาดภาพ DX Format

· ระบบโฟกัสอัตโนมัติ 51 จุด พร้อมโมดูลเซ็นเซอร์ออโต้โฟกัสรุ่นใหม่ Multi-CAM 3500FX

· Picture Control และ Active D-Lighting ที่ช่วยขยายข้อจำกัดการถ่ายภาพ

· Advanced Scene Recognition ระบบวิเคราะห์ภาพทำงานสัมพันธ์กับชิ้นเลนส์และเซ็นเซอร์ 1,005-pixel RGB

· ฟังก์ชั่นแก้ความคลาดเคลื่อนสีอัตโนมัติให้ไฟล์ภาพคุณภาพสูงแม้ถ่ายภาพด้วยเลนส์ทั่วไป

· โครง สร้างตัวกล้องผลิตด้วยโลหะแมกนีเซียมอัลลอยที่มีความแข็งแรง และซีลยางช่วงรอยต่อต่างๆเพื่อป้องกันละอองน้ำและฝุ่น รองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมเลวร้ายและสมบุกสมบัน

· ระบบแฟลชชั้นสูงเชื่อมต่อการทำงานแบบไร้สาย เพิ่มขอบเขตการใช้งานได้หลากหลาย

สรุปกล้อง Nikon ที่เคยได้รับรางวัล Camera Grand Prix ทั้งหมด

Grand Prix ครั้งที่ 1 - ปี 2527 (1984) – Nikon FA

Grand Prix ครั้งที่ 6 - ปี 2532 (1989) – Nikon F4 / F4s

Grand Prix ครั้งที่ 14 - ปี 2540 (1997) – Nikon F5

Grand Prix ครั้งที่ 21 - ปี 2547 (2004) – Nikon D70

Grand Prix ครั้งที่ 23 - ปี 2549 (2006) – Nikon D200

News : Nikon D3 ได้รับรางวัล EISA 2008-2009

Nikon D3, AF-S 14-24 f/2.8G ED และ AF-S 24-70 f/2.8G ED ได้รับรางวัล EISA 2008-2009

Nikon Corporation มีความยินดีประกาศให้ทราบว่าผลการประกาศรางวัล EISA Awards (European Imaging and Sound Association) ประจำปี 2008-2009 ผลิตภัณฑ์ของ Nikon ได้รับรางวัล 2 รางวัลด้วยกัน ได้แก่ กล้อง DSLR Nikon D3 ได้รับรางวัล European Professional Camera 2008-2009 และเลนส์ Nikon AF-S 14-24 f/2.8G ED และ AF-S 24-70 f/2.8G ED ได้รับรางวัลร่วมกัน European Professional Lens 2008-2009

ก่อนหน้านี้ Nikon D3 ยังได้รับรางวัล CAMERA GRAND PRIX 2008 จากสมาคมช่างภาพข่าวญี่ปุ่น และรางวัล Best D-SLR Professional ของยุโรปปี 2008 โดย Europe's Technical Image Press Association (TIPA) รวมกวาดรางวัลจากสถาบันหลักซึ่งเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกมาแล้ว 3 สถาบัน นอกจากนี้ในปี 2008 ยังเป็นปีฉลองเลนส์ NIKKOR ครบรอบ 75 ปี นับตั้งแต่เริ่มผลิตเลนส์ตัวแรกในปี 1933 ประกอบกับเลนส์ NIKKOR ทั้งสองตัวนี้ได้รับรางวัลใหญ่ในปีเฉลิมฉลองนี้อีก

European Professional Camera 2008-2009 : Nikon D3

Nikon D3 กล้อง DSLR ขนาดเซ็นเซอร์แบบฟูลเฟรม (FX Format) ตัวแรกของ Nikon ด้วยเซ็นเซอร์รับภาพแบบ CMOS ความละเอียด 12.1 ล้านพิกเซล ด้วยขนาดพิกเซลใหญ่กว่ากล้อง DSLR ทั่วไป จึงให้ไฟล์ภาพคุณภาพสุดยอด สัญญาณรบกวนต่ำแม้ถ่ายภาพที่ความไวแสงสูง ระบบโฟกัสและการทำงานรวดเร็ว ถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็ว 9 ภาพต่อวินาทีที่ขนาดภาพ FX Format เหมาะสำหรับงานถ่ายภาพแอ๊คชั่นและภาพกีฬา นับเป็นกล้องที่ช่างภาพระดับมืออาชีพทุกท่านต้องการเป็นเจ้าของ

European Professional Lens 2008-2009 : Nikon AF-S 14-24 f/2.8G ED และ AF-S 24-70 f/2.8G ED

จุดเด่นของเลนส์ทั้งสองตัวนี้ คือ ชิ้นเลนส์คุณภาพสูงระดับโปรและขนาดรูรับแสงกว้าง f/2.8 สำหรับใช้กับกล้องโปร DSLR FX Format ของ Nikon โดยเฉพาะเลนส์ AF-S 14-24 มม. จัดเป็นเลนส์ซูมสำหรับกล้อง DSLR แบบฟูลเฟรมที่มีช่วงทางยาวโฟกัสน้อยที่สุด และคุณภาพเท่ากับเลนส์ที่มีทางยาวโฟกัสคงที่ ส่วนเลนส์ AF-S 24-70 มม. ประกอบด้วยชิ้นเลนส์คุณภาพสูง และได้รับการออกแบบระบบการทำงานที่ยอดเยี่ยมโดดเด่นเมื่อเทียบกับบรรดาเลนส์ซูมช่วงมุมกว้าง-มาตรฐานทั่วไป ระยะโฟกัสใกล้สุด 0.38 ม. ยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการซูมภาพสำหรับงานถ่ายภาพทั่วไป

ข้อมูลเกี่ยวกับ EISA และ รางวัล EISA

EISA เป็น สมาคมที่เกิดจากการรวมตัวกันของบรรณาธิการมัลติมีเดียที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน ยุโรป ประกอบด้วยสมาชิกจากนิตยสารถ่ายภาพ, วีดีโอ และเครื่องเสียงจำนวน 50 ราย จากกลุ่มประเทศในยุโรป 19 ประเทศ โดยในแต่ละปีบรรณาธิการและนักเขียนด้านเทคนิคจากนิตยสารในกลุ่มสมาชิกจะเสนอ ชื่อเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ดีที่สุดในแต่ละประเภทกลุ่มหัวข้อที่วาง จำหน่ายในช่วง 12 เดือนก่อนหน้า

*งานพิธีประกาศอย่างเป็นทางการจัดขึ้นที่กรุงเบอร์ลิน เยอรมันนี วันที่ 29 สิงหาคม 2008

* *ข้อมูลและรายละเอียดข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

Review Olympus E-520

ดีไซน์ที่รองรับการบันทึกภาพทุกอารมณ์ของคุณ
ใน ช่วงชีวิตของคุณย่อมเต็มไปด้วยวินาทีแห่งความประทับใจอันประเมินค่ามิได้ ซึ่งอาจผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าคุณคงต้องการเก็บบันทึกทุกความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในห้วงแห่งความ ทรงจำ
เก็บทุกภาพและความรู้สึกประทับใจเหล่านั้นด้วยกล้อง E-520 ที่มาพร้อมกับฟังก์ชั่นการทำงานชั้นสูงอย่างการป้องกันภาพสั่นไหว (Image Stabilization) แบบ Built-in และ ฟังก์ชั่น AF Live View เพื่อให้คุณสามารถตรวจเช็คระดับการชดเชยแสงขณะถ่ายภาพได้ นอกจากนี้ยังมีระบบออโต้โฟกัสแบบ 11-point multi-area เพื่อประเมินค่าที่เหมาะสมของการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอล SLR พร้อมกับเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่คุณด้วย free-angle เช่นเดียวกับการถ่ายภาพด้วยกล้องทั่วไป







ระบบ ป้องกันภาพสั่นไหวที่ถูกรวมเข้าไว้ด้วยกันในกล้อง E-520 ใช้ SWD (Supersonic Wave Drive) actuators เพื่อเปลี่ยนการเซ็นเซอร์ภาพ และชดเชยการสั่นไหวของกล้องสูงสุดตั้งแต่ 4 ถึง ระดับ EV*1



การถ่ายภาพด้วยฟังก์ชั่น Live View ที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่โดยการเพิ่ม “High-Speed Imager AF*2” ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้งานกล้องอย่างสะดวกสบายเช่นเดียวกับการใช้งานกล้องดิจิตอลทั่วไป นอกจากนั้น ฟังก์ชั่น Face Detection*3 & Shadow Adjustment Technology (ฟังก์ชั่นการค้นหาใบหน้า และเทคโนโลยีการปรับแสงเงา) เป็นคุณสมบัติพิเศษเพิ่มเติมที่ช่วยในการปรับค่าปริมาณแสงที่เหมาะสมสำหรับ ในหน้าบุคคลและฉากหลัง


ภาพสวยงามได้ด้วยระบบประเมินผลภาพLive MOS sensor และกระบวนการผลิตภาพ


และเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นด้วย
• ระบบการทำงานแฟลช
• ค่าความไวแสง ISO
• การถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูง
• ระบบการวัดแสงแบบ 49-point Multi-Pattern Metering
• ไวท์บาลานซ์ (White Balance)
• ปุ่ม Fn (Function)
• ฟังก์ชั่นการถ่ายภาพคร่อมแสงอัตโนมัติ (Bracketing)
• โหมดการถ่ายภาพ 4 โหมด
• ช่องใส่เมมโมรี่การ์ดแบบ Dual
• ฟังก์ชั่น Light Box


* 1 ผลที่ได้จากการแก้ไขอาจแตกต่างกันไปตามชนิดของเลนส์และสภาวะในการถ่ายภาพ
* 2 เมื่อใช้เลนส์อื่นนอกเหนือจาก ZUIKO DIGITAL ED 14-42 mm. f3.5-5.6, ED 40-150mm f4.0-5.6 หรือ 25mm f2.8 จำนวนของจุดโฟกัสจะเปลี่ยนเป็น 3 และจะดำเนินการปรับค่า AF อีกครั้ง
เมื่อกดปุ่มชัตเตอร์ลงไปจนสุด หากใช้เลนส์ ED 14-42 f3.5-5.6 หรือเลนส์ ED 40-150mm f4.0-5.6 จำเป็นต้องอัพเดทเฟิร์มแวร์ให้เป็นเวอร์ชั่น 1.1 หรือใหม่กว่า
* 3 ในบางกรณีอาจไม่สามารถจับภาพใบหน้าบุคคลได้
* การชดเชยภาพสั่นไหว (Image Stabilization) แบบ Built-in
สามารถใช้ร่วมกับเลนส์ OM ทุกรุ่นของ Olympus

AT : โลโม้กราฟฟี


เดิมทีกล้องโลโม่ออกแบบมาเพื่อใช้ในหน่วยงานสายลับของกองทัพรัสเซีย โดย LOMO ย่อมาจาก Leningrad Optical Machinery Organization ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ผลิตเลนส์เพื่อใช้ในโครงการอวกาศของกิจการกองทัพและผลิตเลนส์ที่ใช้ในกล้องโทรทัศน์ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2526 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงและอุตสาหกรรมของสหภาพโซเวียตในขณะนั้น มีคำสั่งให้หน่วยงาน LOMO ผลิตกล้องเลียนแบบกล้องคอมแพคท์ของญี่ปุ่นขึ้น มาให้เร็วที่สุด ถูกที่สุดและมากที่สุด เพื่อแจกจ่ายให้พลเมืองรัสเซียทุกคนได้รู้จักการถ่ายรูป โดยมีคำขวัญว่า "คอมมิวนิสต์อันทรงเกียรติทุกคนควรมีกล้อง Lomo Kompakt Automat LC-A เป็นของตัวเอง" โดยผู้ผลิตกล้อง Lomo Kompakt Automat LC-A คือ Michail Aronowitsch Radionov อดีตสายลับ KGB

ต่อมาเมื่อในปี พ.ศ. 2534 Matthias Fiegl และ Wolfgang Stranzinger หนึ่งในผู้บริหารบริษัท Lomographische AG เดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองปราก สาธารณรัฐเช็ก แต่ลืมนำกล้องถ่ายรูปไปด้วย จึงไปซื้อและได้รู้จักกับกล้อง Lomo Kompakt Automat โดยบังเอิญ และหลังจากได้ถ่ายและล้างรูปจากร้านล้างรูปธรรมดาในซุเปอร์มาร์เก็ต[2] ผลออกมา พบว่าภาพถ่ายมีสีสันจัดจ้านดูผิดเพี้ยน แต่มีความสวยงามจนทำให้พวกเขาได้หลงใหลกับภาพที่ปรากฏขึ้น และในปี 2535 Fiegl และเพื่อนได้จัดตั้งบริษัท Lomographische AG ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย หลังจากนั้นไม่นานกระแสความนิยมในโลโม่กระจายไปทั่วโลก ภายใต้แนวความคิดว่า "Lomography is an analog lifestyle product"

โลโม้กราฟฟีเน้นการถ่ายภาพจากระดับเอว การใช้สีจัดเกิน สิ่งปนเปื้อนบนเลนส์ และจุดตำหนิอย่างจงใจ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นศิลปะ เป็นนามธรรม เหล่านี้เป็นสิ่งที่นักถ่ายภาพโลโมกราฟีนิยมชมชอบ. ด้วยขนาดที่เล็ก ทำให้กล้องโลโมเป็นที่นิยมสำหรับการพกพา และใช้บันทึกภาพในชีวิตประจำวัน. นอกจากนี้ ความสามารถในการถ่ายในที่ ๆ มีแสงน้อยได้ ทำให้มันเป็นที่นิยมสำหรับการภาพทีเผลอ (แคนดิด) การรายงานด้วยภาพ และภาพเหตุการณ์จริง (photo vérité, คำว่า vérité เป็นภาษาฝรั่งเศสแปลว่า ความจริง)

คุณ สมบัติของโลโมแต่ละรุ่นมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน เช่น Holka และ Diana เป็นกล้อง Medium Format, Actionsampler และ Supersampler สร้างภาพได้หลายเฟรมหลายแอคชั่นในการกดชัตเตอร์ครั้งเดียว, Pop- 9 จะให้ภาพซ้ำแบบ Pop Art, Colorsplash มีแฟลชที่เปลี่ยนสีได้, Fisheye ลักษณะภาพจะดูนูน ขอบรูปวงกลม ดีไซน์กล้องที่ดูกึ่งๆ คลาสสิก, LC-A+ มีการ Recite ในเชิงประวัติศาสตร์ในฐานะที่เป็นกล้องโลโม่รุ่นแรกตั้งแต่สมัยสายลับรัส เซีย

คติของโลโมกราฟีคือ "ไม่ต้องคิด ถ่ายไปเลย" ("don't think, just shoot")

กฎ 10 ข้อ ของโลโมกราฟี

1. พกกล้องโลโมของคุณไปทุกที่
2. ใช้มันตอนไหนก็ได้ - ทั้งกลางวันและกลางคืน
3. โลโมกราฟีไม่ใช่สิ่งสอดแทรก, แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ
4. ถ่ายจากเอว
5. เข้าใกล้วัตถุที่คุณต้องการความโลโม ให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้
6. ไม่ต้องคิด
7. ทำให้เร็ว
8. คุณไม่จำเป็นต้องรู้ล่วงหน้าว่าคุณจะถ่ายได้อะไรในฟิล์ม
9. และคุณก็ไม่จำเป็นต้องรู้หลังจากถ่าย เช่นกัน
10. ไม่ต้องห่วงเรื่องกฏหรอก

Review NIKON SB-800

NIKON SB-800

นักถ่ายภาพสามารถปรับระยะทางและขนาดรูรับแสงเองแบบแมนนวลโดยแฟลช SB-800จะปรับกำลังไฟที่ส่งออกไปอัตโนมัตทำให้สะดวกในการใช้แมนวลแฟลชสำหรับการถ่ายภาพแต่งงานและการถ่ายภาพนค้า

แฟลช SB-800สามารถใช้กับกล้อง Nikon ทั้งกล้องดิจิตอลและกล้องฟิล์มในปัจจุบันได้ทั้งหมด ระบบการทำงานเช่นเดียวกับ SB-80DX และรองรับระบบการทำงานแฟลชอัตโนมัติในโหมด D-TTL สำหรับกล้องดิจิตอล SLR และโหมด TTL และ NonTTL (A) Flash สำหรับกล้องที่ใช้ฟิล์ม ส่วนระบบ i-TTLเป็นระบบใหม่สำหรับกล้อง D2H โดยเฉพาะ



ลักษณะสำคัญของแฟลช SB-800

ใช้กับกล้องSLR ดิจิตอลและกล้องฟิล์มได้ทั้งหมด ระบบ i-TTL Balance Fill-FlashControl ใช้สำหรับกล้องรุ่น D2H, ระบบ D-TTL Balance Fill Flash Controlและ Auto Aperture Flash (AA) สำหรับกล้อง SLR ดิจิตอล D1-Series และ D100และ ระบบ TTL กับ Non TTL Auto Flash (A) สำหรับกล้องฟิล์ม



ระบบi-TTL สนับสนุน Advance Wireless Lighting และฟังก์ชั่นต่างๆเพื่อใช้ร่วมกับแฟลชได้อีก 3 กลุ่มที่เป็นระบบ i-TTL ด้วยกัน โดยควบคุมการทำงานจากแฟลช SB-800 ที่เป็นตัวหลัก

การปรับโหมดต่างๆของแฟลช(TTL,AA,A และ M) แต่ละตัวให้แตกต่าง กันไปเพื่อกำหนดแสงได้ตามต้องการ FVLock (Flash Value Lock) แฟลชจะล็อคค่าแสงแฟลชที่ยิงไปยังวัตถุให้แรงคงที่ ช่วยให้นักถ่ายภาพสามารถซูมเข้าออกหรือองค์ประกอบภาพใหม่ โดยวัตถุจะได้รับแสงแฟลชเท่ากันทุกภาพ

AutoFP High Speed Syne Mode เพื่อใช้เป็นแฟลชเสริมสัมพันธ์กับความเร็วชัตเตอร์สูงในที่มีแสงสว่างมาก จึงสามารถเปิด รูรับแสงได้กว้างเพื่อให้ฉากหลังเบลอ Distance Priority Manual Modeสำหรับการถ่ายภาพวัตถุที่มีระยะห่าง คงที่ เช่น การถ่ายภาพแต่งงานหรือภาพสินค้า

ModellingFlash สำหรับใช้ดูเงาของแฟลชว่าจะส่องไปทิศทางใด

SB-800Quick Recycling Battery Pack มาพร้อมกับแฟลช ให้ สามารถใช้แบตเตอรี่ 5ก้อน RG (AA)-size สำหรับช่วย การชาร์จไฟให้เร็วขึ้น จากปกติ 4 วินาทีเป็น 2.9 วินาที

มีชุดฟิลเตอร์สี SJ-800 จำนวน 2 อันให้มาพร้อมกับแฟลช สำหรับช่วยแก้ White Balanceเมื่อถ่ายในสภาพแสงทังสเตนและ แสงฟลูออเรสเซ็นต์ให้มีสีสันที่ถูกต้อง

ฐานตั้งแฟลช AS-19 มาพร้อมกับแฟลช และมีช่องสำหรับหมุนยึดติดบน ขาตั้งกล้องได้




คุณสมบัติจำเพาะ


การควบคุมแฟลช
  • i-TTL Balance Fill-Flash ใช้กับ Nikon D2H
  • D-TTL Balance Fil-Flash ใช้กับ D1-series หรือ D100
  • TTL Auto Flash ใช้กับกล้อง SLR ที่ใช้ฟิล์ม เช่น Nikon F5, F100, F80, F75, F65 และ FM3A
  • Auto Aperture Flash (AA)
  • Non-TTL Auto Flash (A) ใช้กับกล้อง SLR ที่ใช้ฟิล์มทั่วไปรวมทั้ง F55(N55) และ FM10
  • Manual Flash (M)
  • Guide Number (ISO 100, m)
  • 38 (ที่35 มม.) ถึง 56 (ที่ 105 มม.)
การปรับซูมหน้าแฟรช
  • ซูมอัตโนมัติได้ตั้งแต่ 24 ถึง 105 มม. โดยมีแผ่นกระจายแสงในตัวได้มุมกว้าง
  • 14 มม. และมา พร้อมกับ Diffusion Dome SW-10H
การปรับมุมแฟรช
  • ก้มหน้าแฟลชลงได้ -7 องศา ปรับเงยหน้าได้ 90 องศา หัวแฟลชหมุนแนวนอน ไปทางซ้ายได้ 180 องศา หมุนไปทางขวาได้ 90 องศา สวิทซ์เปิดปิด
    ปุ่มกด ON / OFF
ช่วงความไวแสงฟิล์ม
  • ISO 25 ถึง 1000 ในโหมด TTL Auto
  • เวลาในการชาร์จไฟ
  • ประมาณ 2.9 วินาที ( แมนวล [M] เมื่อใช้แบตเตอรี่ R6 (AA) size Ni-Cd หรือ Ni-MH ใส่กับ Quick Recycling Battery
  • Pack SD-800 ) และ ประมาณ 6 วินาที ( แมนนวล [M] เมื่อใช้ แบตเตอรี่ลิเทียม FR6 (AA) size )
  • จำนวนการยิงแฟลช
  • ประมาณ 150 ครั้ง ( เมื่อใช้กับแบตเตอรี่ Alkaline หรื NI-MH )
พลังงาน
  • ใช้แบตเตอรี่1.5 V LR6 ( AA size Alkaline [L40] ) , 1.2 V KR-AA ( AA size Lithium );Quick Recycling Battery Pack SD-800 ใช้กับแบตเตอรี่ AA size 5 ก้อน
  • ขนาด (กว้างxยาวxสูง)
  • ประมาณ 70.6 x 127.4 x 91.7 มม.
  • น้ำหนัก ( ไม่รวมแบตเตอรี่ )
  • ประมาณ 350 กรัม
อุปกรณ์มาตรฐานที่มาด้วย
  • Quick Recycling Battery Pack SD-800
  • Speedlight Stand AS-19
  • Colored Filterset SJ-800 ( FL-G1 และ TN-A1 )
  • Diffusion Dome SW-10H
  • Soft Case SS-800

AT : มุมมองของมือใหม่

ผมก็ไม่ได้เข้าใจเรื่องของทฤษฏีอะไรมากเท่าไรนัก โดยเฉพาะเรื่องขององค์ประกอบ เมื่อครั้งหัดถ่ายรูปใหม่ๆนั้นไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย ก็ได้แต่ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆประกอบกับเทคโนโลยีที่ทำให้เราสามารถถ่ายภาพโดยไม่ค่อยจะคิด แตกต่างจะฟิมล์ที่ต้องคิดแล้วคิดอีกกว่าจะได้มาแต่ล่ะรูป
วิธีการจัดองค์ประกอบของภาพแบบเน้นมุมมองของมือใหม่ มีวิธีการจัดองค์ประกอบง่ายๆอยู่ 3 วิธี
1.กำหนดวัตถุที่จะนำเสนอ
ภาพหนึ่งภาพสามารถที่จะนำเสอนได้หลายๆมุมหลายๆแบบ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วต้องตั้งคำถามกับตัวเองก่อนว่า จะถ่ายอะไร? อยากได้อะไร ? อยากสื่ออะไร? ถ้าหากเราสามารถตอบคำถามตัวเองได้ การถ่ายทอดมุมมองของภาพนั้นจะสามารถสื่อออกมาได้อย่างตรงประเด็น ใครที่มาดูภาพของเราก็จะสามารถเข้าใจถึงแง่มุมที่เราพยายามสื่อออกไป
NIKON D80 110m f2.8 1/160s
2.เลือกตำแหน่งที่จะวางภายในภาพ
เมื่อเราได้แบบที่ดีแล้วเราควรที่จะจัดวางให้มันอยู่ถูกที่ถูกทางให้ดูเด่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่นใหญ่เราจักวางวัตถุไว้บริเวณด้านข้าง เพราะถ้าวางไว้ตรงกลางจะทำให้บริเวณด้านข้างเสียไปทำให้ไม่สื่อบรรยากาศโดยรอบ ซึ่งกฎมีอย่างต่างๆนา บางครั้งก็ต้องแหกกันบ้างแล้วแต่ตามความเหมาะสม

NIKON D80 200m f3.2 1/80s
3. หาองค์ประกอบเสริมมาใส่ในภาพ
เอาง่ายๆมีเด่นก็ต้องมีรอง หลังจากเราได้ตัวแม่แล้วก็อย่างลืมลูกๆด้วยคือหาบรรยากาศโดยรอบมาให้เกิดความสดุดตานิดนึงเป็นการเสริมความเด่นให้เด่นยิ่งขึ้น ที่เรียกกัน Background and Foreground นั้นเอง
NIKON D80 150m f2.8 1/320s